Follow us

ดั๊บเบิ้ล เอ จัดเสวนา "อยู่กับน้ำ" Dont let Flood STOP your Life เพื่อปลุกกำลังใจคนไทยให้เข้มแข็ง และใช้ชีวิตอยู่กับน้ำได้อย่างมีความสุข

คุณชาญวิทย์ และวิทยากรที่ร่วมเสวนาฯ

พระมหาหรรษา การบรรยายธรรม เรียกขวัญและกำลังใจ

จากมหาอุทกภัยที่คนไทยต้องเผชิญร่วมกัน และเป็นปัญหาที่ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หลายคนตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าน้ำมาถึงแล้ว จะอพยพดี หรือจะอยู่กับน้ำดี  แต่เชื่อเหลือเกินว่า ไม่มีใครอยากจะอพยพมาอยู่ข้างนอกบ้าน แต่สิ่งที่หลายคนยังตั้งข้อสงสัยว่า แล้วเราจะอยู่กับน้ำได้จริงหรือ จากคำถามดังกล่าว ดั๊บเบิ้ล เอ จึงจัดงานเสวนา "อยู่กับน้ำ" Don't let Flood STOP your Life ขึ้น โดยเชิญกูรูสาขาต่างๆ มาบอกเล่าถึงประสบการณ์และแนะนำวิธีที่จะทำให้เราทุกคนอยู่กับน้ำได้อย่างมีความสุข

บรรยาการการเสวนา อยู่กับน้ำ จากกูรูสาขาต่างๆ

ตั้งใจฟัง

โดยงานในวันนั้น เริ่มจากการร่วมฟังการบรรยายธรรม จาก พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเป็น 1 ในหลายๆวัดแรก ๆ ที่ประสบภัยใน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ด้วยการเตรียมความพร้อม มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จึงได้กลายเป็นศูนย์กลางของคนกว่า 3,000 ครอบครัว แม้จะลำบาก แต่พระมหาหรรษา บอกว่า รู้สึกภูมิใจ เพราะการไม่ย้ายไม่อพยพของเรา ทำให้ทุกคนในชุมชนสามารถต่อสู้ยืนหยัดจนวันนี้น้ำลดลงไปกว่า 60 ซม.แล้ว  แต่ประเด็นวันนี้ คือ ถ้าเราไม่หนีน้ำเราจะทำอย่างไร สิ่งสำคัญคือ เราต้องปรับตัวเข้ากับน้ำให้ได้ เวลาสายน้ำเดินทางผ่านมาเรามักจะเป็นทุกข์ สโลแกนของพระมหาหรรษา คือ "อยู่กับน้ำให้เป็นไม่เห็นความทุกข์" ซึ่งพระมหาหรรษา กล่าวว่า ขณะนี้คนส่วนใหญ่เวลาน้ำวิ่งเข้ามาหาน้ำไม่ได้ท่วมแค่กาย แต่น้ำได้ท่วมไปที่ใจ เพราะขณะนี้คนที่ประสบภัยไปแล้ว หรือคนที่กำลังจะประสบภัย จะมีความโกรธและความโลภ

สอบถามสถานการณ์น้ำนอกรอบ

ซึ่งหลังจากนี้อาตมาอยากให้ทุกคนที่เป็นผู้ประสบภัยแล้ว และคนที่กำลังจะเป็นผู้ประสบภัย ตั้งสติให้ดีและไล่เรียงลำดับความสำคัญว่าอะไรควรเก็บควรทำก่อนหลัง ขอให้คิดว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง มีท่วมก็ต้องมีแห้ง ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น มันคงอยู่กับเราไม่นาน ขอให้อดทน และอาตมาไม่แนะนำให้คนที่มีบ้าน 2 ชั้น ย้ายบ้าน แต่ที่สำคัญคนที่รับผิดชอบอย่าไปตัดน้ำ ตัดไฟเขา เพราะเขาดูแลของเขาได้

ดั๊บเบิ้ล เอ มอบเรือเมล์เพื่อผู้ประสบภัย

ขณะที่ คุณสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือ พี่เช็ค โปรดิวเซอร์รายการคนค้นฅน บอกเล่าถึงประสบการณ์ในการลงพื้นที่จริงได้อย่างน่าสนใจ "น้ำท่วมครั้งนี้กินพื้นที่กว้างขวางมาก ตั้งแต่ชนบท ที่คนเรียนรู้ที่จะอยู่กับน้ำ จนถึงใจกลางมหานคร คนที่อยู่ไม่มีทั้งความรู้ ไม่คุ้นชินและไม่ได้มีการเตรียมพร้อมที่จะอยู่กับน้ำ ดังนั้นการลงไปจัดการกับปัญหาเหล่านี้ในบริบทมันมีความแตกต่างกัน และคนถูกน้ำท่วมยังถูกน้ำท่วมด้วยดีกรีที่แตกต่างกัน ซึ่งจากการลงพื้นที่ผมพบว่า ในกลุ่มคนที่ถูกน้ำท่วม เป็น 5 ประเภท คือ 1. เดือดร้อน   2.ลำบาก 3.ยากเย็น 4.เข็ญใจ และ 5.ไม่ไหวแล้วโว้ย คือ เดือดร้อน ลำบาก ยากเย็น เข็ญใจ ทำให้วิธีที่เราจะต้องลงไปช่วยเหลือจะแตกต่างกัน ประกอบกับการมีต้นทุนบางอย่าง บางพื้นที่ที่มีทุกข์กับน้ำท่วมมาก เพราะไม่มีต้นทุน มีความแตกแยก ไม่มีความสามัคคี แต่บางพื้นที่มีผู้นำที่เข้มแข็ง รวมกลุ่ม และจัดการทำให้ชุมชนอยู่ได้ แต่ในพื้นที่ส่วนใหญ่เมื่อถูกน้ำท่วมต่างคนต่างคิดจะเอาตัวรอด ทำให้ทั้งตัวเองและชุมชน ไม่สามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้"


น้ำใส น้ำใจ เพื่อผู้ประสบภัย จากดั๊บเบิ้ล เอ

ด้าน นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขและผู้ดำเนินโครงการชุมชนคลองมหาสวัสดิ์ เล่าถึงประสบการณ์จากฐานะผู้ประสบภัยกลับมาเป็นผู้ช่วยเหลือว่า "ผมอยู่ในเขตบางบัวทอง จึงถือเป็นผู้ประสบภัยลำดับแรกๆ หรือ ผู้ประสบภัยรุ่นที่ 1 โดยที่ผ่านมาผมเตรียมสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลายๆ คนบอก อาจารย์หนีเถอะ เพราะน้ำเยอะจริงๆและไม่มีทางรอด แต่ผมเริ่มจากความไม่ประมาท ตระเตรียมทุกอย่างในการดำรงชีวิต แต่สาเหตุที่ต้องออกมาอยู่ข้างนอก เพราะ บังเอิญรายการโทรทัศน์ได้ชวนออกไปอยู่ข้างนอก เลยตัดสินใจออกมากับทางรายการ และปรับเปลี่ยนตัวเองจากผู้ประสบภัยมาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ โดยลงพื้นที่คลองมหาสวัสดิ์ ไปพบว่า ชาวบ้านตั้งใจว่าเขาจะอยู่ และทาง กทม.  ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวไว้ที่โรงเรียนคลองมหาสวัสดิ์ และที่วัดปุณณาวาส ผมจึงเริ่มกระบวนการกับชุมชน และเราเตรียมเป็นขั้นเป็นตอน และทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกัน แต่ก็มีความขัดแย้งกัน แต่อย่างที่บอก ในสถานการณ์แบบนี้ อยู่ที่ต้นทุนและผู้นำชุมชนว่าเป็นอย่างไร เราจะจัดระบบอย่างไรให้เกิดผู้นำ และความสามัคคีขึ้น ซึ่งจากความสามัคคี ทำให้ชุมชนดังกล่าวอยู่ได้ด้วยความเข้มแข็ง โดยย้ำว่า ถ้าเราฝ่าวิกฤตได้ เราก็จะแข็งแรงขึ้นกว่าเก่า"

ถุงยังช่วย(กัน) ผลิตภัณฑ์จากผู้ประสบภัยในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์

นายทวีจิตร จันทรสาขา นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ขึ้นชื่อว่าสถาปนิก มีหรือที่จะไม่มีวิธีในการปกป้องบ้านให้พ้นจากอุทกภัยในครั้งนี้ แต่ใครจะเชื่อว่า แม้คุณทวีจิต จะมีอุปกรณ์ทุกอย่างเรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่บ้านคุณทวีจิตไม่มี แต่เขาก็ยังไม่สามารถรอดพ้นจากน้องน้ำได้ "สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราได้เรียนรู้" อย่าไปเอาชนะธรรมชาติ แต่ให้คิดเอาธรรมชาติมาใช้ให้ประโยชน์ดีกว่า" เพราะถึงเวลาจริงแล้ว สิ่งที่เราเรียนรู้ถึงมาตราการการป้องกันนั้นยากเกินกว่าที่จะทำได้ ยิ่งน้ำสูงกว่า 1 เมตร ระบบที่เราเตรียมไว้ช่วยอะไรไม่ได้ เมื่อน้ำมาแล้ว บอกได้คำเดียวว่า เก็บเงินไว้ซ่อมบ้านดีกว่า น้ำท่วมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด จริง ๆ สิ่งที่น่ากลัวคือ ระบบโลจิสติกส์ ถ้าสามารถกู้ระบบโลจิสติกส์ได้ และสามารถขนส่งอาหาร ขนส่งคน ขนส่งสินค้า และยารักษาโรคได้ เราก็อยู่กับน้ำได้ ซึ่งประเด็นนี้ คุณเพ็ชร ชินบุตร จากสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ก็สนับสนุนแนวคิดนี้ เพราะตอนนี้ ถึงมีเงินแต่ก็หาซื้อของไม่ได้

สำหรับการดูแลบ้านหลังโดนน้ำท่วม แยกเป็นส่วนๆ

อาคาร : ยืนยันว่าโครงสร้างสามารถแช่น้ำเป็นเวลา 2 เดือน ไม่พังอย่างแน่นอน เว้นแต่อยู่ใกล้บึง ใกล้บ่อ ดินสไลด์ ซึ่งจะส่งผลต่อรากฐานได้

ผนัง : ขัดและล้าง และทิ้งไว้ 1 เดือนเพื่อให้น้ำและความชื้นระเหย เชื่อว่าราคาสีใหม่ ไม่เท่ากับราคากระสอบทรายที่ซื้อมากั้นบ้าน

พื้น : พื้นหินอ่อน หินขัด กระเบื้อง รีบทำความสะอาดอย่าให้เกาะนาน และถ้ากระเบื้องล่อน สามารถใช้กาวเพื่อซ่อมแซมได้ ส่วนพื้นไม้ ถึงน้ำไม่เข้าบ้าน แต่ความชื้นอาจจะทะลุขึ้นมาได้ ซึ่งหากเกิดอาการบวม ซ่อมแซมโดยการตัดออกและซ่อม

ปั๊มน้ำ /คอมเพรสเซอร์แอร์ : ควรหาถุงพลาสติกคลุม เพื่อป้องกันโคลน และยกขึ้นให้พ้นรัศมีน้ำ แต่สำหรับคนที่น้ำท่วมแล้ว หลังน้ำลดควรทิ้งไว้ 2 อาทิตย์ รอให้แห้ง

ถังบำบัด : พอน้ำลดน้ำจะไหลลงไปเอง ให้เอาแบคทีเรียสำเร็จรูปใส่เข้าไป

ด้านคุณชวลิต จันทรรัตน์ TEAM Group มาบอกเล่าถึงสถานการณ์น้ำในขณะนี้ว่า น้ำในปีนี้มีมากกว่าปีอื่นๆ 1.4  เท่า เราก็คิดแบบจำลองเอาน้ำจากพื้นที่ต่างๆ มาคำนวณ พบว่า พื้นที่บางแห่งท่วมแน่ บางแห่งกำลังท่วม และบางแห่งเสี่ยงปานกลาง ซึ่งตอนนี้ยังเหลือถนนพระราม 2 แต่ก็ท่วมแน่ๆ อย่าสร้างกระสอบทรายขอให้ไหลไปตามธรรมชาติ ให้ไหลบางๆ ลงทะเล แต่ในบริเวณกลางๆ ช่วงตะวันออกของถนนวงแหวนบางเขต เช่น ทุ่งครุ ราษฏร์บูรณะ ธนบุรี จะรอด ส่วนพื้นที่ตะวันตกคาดว่าท่วมไม่นาน ภายใน 2 สัปดาห์ ถ้ามีการอุดรอยรั่วที่คลองมหาสวัสดิ์เสร็จ และสูบน้ำจากคลองภาษีเจริญออกไปที่คลองสนามชัย ก็จะทำให้น้ำแห้งเร็ว

ส่วนฝั่งกรุงเทพฯ ชั้นใน เราต้องสู้ด้วยระบบสูบน้ำชั้นที่ 2 คลองบางซื่อยังรับน้ำได้ดี ไม่น่ามีปัญหา และทาง กทม.เองก็ช่วยสูบน้ำลงคลองสามเสนบางส่วน ช่วยให้อนุเสาวรีย์ชัยฯ รอดจากน้ำท่วม ในส่วนของรามคำแหงมีอุโมงค์พระราม 9 รับน้ำ จะทำให้พื้นที่ดังกล่าวปลอดภัย และถัดไปมีอุโมงค์มักกะสันรับน้ำจากคลองพระราม 9 จะช่วยให้เขตดินแดงรอด นอกจากนี้ พื้นที่ที่น้ำจะไม่ท่วม มีเขตบางรัก คลองเตย สาทร พระนคร ดุสิต บางซื่อ แต่ก็อย่าเพิ่งประมาท โดยคุณชวลิตได้แนะแนวทางรับมือกับน้ำท่วมไว้หลากหลายข้อ และเตือนว่า สำหรับคนที่ยกรถขึ้น อย่ายกที่แหนบเพราะจะทำให้รถเสีย หรือถ้าใช้ถุงกันน้ำ ก็ต้องหาที่ยึดรถไว้ด้วยไม่เช่นนั้นรถจะลอยและกระแทกเสียหายได้

การเสวนาในครั้ง คงจะช่วยทำให้ทั้งผู้ประสบภัยและผู้ที่กำลังจะประสบภัย ได้กำลังใจและแนวทางที่จะลุกขึ้นมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ปล่อยให้น้ำมาหยุดวิถีชีวิตของเรา ขอแค่รัฐบาลอย่าตัดน้ำตัดไฟ คนที่ตั้งใจจะสู้อยู่กับน้ำ ก็จะอยู่ได้ ในช่วงท้ายเสวนาดั๊บเบิ้ล เอ ผู้จัดเสวนาได้นำร่องมอบเรือเมล์ และไม้ต้นกระดาษให้แก่นพ.โกมาตร เพื่อนำไปสร้างสะพานต้นแบบสำหรับการสัญจรของชุมชนที่ประสบอุทกภัย ให้สามารถมีวิถีชีวิตอยู่กับน้ำ  และขอฝากคำดีๆ ของพระมหาหรรษา ไว้ด้วยว่า "แม้ว่าน้ำจะพัดพาทุกอย่างไปจากชีวิตเรา แม้ว่าจะพัดพาบางอย่างไปจากสังคมของเรา แต่น้ำจะไม่พัดพาสยามเมืองยิ้ม กำลังใจ และการช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปจากสังคมไทย เราจะสู้ไปด้วยกัน"

วีณามัย บ่ายคล้อย ผู้ดำเนินรายการ

ข่าวประชาสัมพันธ์

Double A ร่วมสนับสนุนงาน World Expo 2020 Dubai ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลสู่สายตาทั่วโลก

ดั๊บเบิ้ล เอ ร่วมกิจกรรม “Thailand Pavilion Launch & Networking Reception” ในฐานะผู้สนับสนุนการจัดอาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) งาน World Expo 2020 Dubai ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 มหกรรมงานระดับโลก ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 -31 มีนาคม 2565 ณ เมืองดูไบ เพื่อมุ่งสร้างความเชื่อมั่น ส่งเสริม และสร้างโอกาสใหม่สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลประเทศไทยผ่านการลงทุน การค้า สู่สายตาประชาคมโลก โดยมี นายวราวุธ ภู่อภิญญา (คนกลาง) เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ให้เกียรติเป็นประธานในกิจกรรม ณ โรงแรมดุสิตธานี ดูไบ เมื่อเร็ว ๆ นี้

ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดตัว “กระดาษคราฟท์” พร้อมจำหน่าย รองรับตลาดอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์

ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “กระดาษคราฟท์” เพื่ออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ กำลังการผลิต 250,000 ตันต่อปี พร้อมทำการตลาดและจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งเป้าสร้างรายได้ 3,000 ล้านบาทต่อปี นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดเผยว่า ความต้องการกระดาษคราฟท์ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกมีประมาณ 164 ล้านตันต่อปี และยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเฉลี่ยประมาณปีละ 2.5 % โดยตลาดในแถบเอเชียแปซิฟิค ถือเป็นตลาดที่มีความต้องการบริโภคกระดาษคราฟท์มากที่สุดในโลก หรือเกือบครึ่งหนึ่งของโลก และเฉพาะตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิคที่ไม่รวมประเทศจีน ก็มีความต้องการมากถึง 30 ล้านตันต่อปี และมีอัตราการเติบโตสูงที่สุด คือ 4 % ต่อปี ทั้งนี้ ดั๊บเบิ้ล เอ ได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ตลาดกระดาษคราฟท์มาตั้งแต่ปี 2562 โดยมีการลงทุนสร้างโรงเยื่อ RECYCLE PULP (RCP) แห่งใหม่ขึ้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ด้วยงบลงทุน 1,000 ล้านบาท มีการเดินเครื่องจักรเรียบร้อยแล้ว และได้ปรับกระบวนการผลิตของโรงกระดาษที่ตั้งอยู่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา รวมถึงโรงกระดาษ 1 ที่จังหวัดปราจีนบุรี มาผลิตกระดาษคราฟท์ กำลังการผลิตอยู่ที่ 250,000 ตันต่อปี และมีผลิตภัณฑ์แรกที่พร้อมจำหน่ายแล้ว คือ กระดาษคราฟท์เพื่อทำลอนกล่องลูกฟูก CORRUGATED MEDIUM (CM) สำหรับการทำตลาดกระดาษคราฟท์นั้น ดั๊บเบิ้ล เอ วางแผนทำการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเริ่มจากประเทศในแถบเอเชียก่อน โดยอาศัยข้อได้เปรียบจากการที่ดั๊บเบิ้ล เอ มีเครือข่ายการตลาดทั่วโลก นอกจากนี้ กำลังการผลิตส่วนหนึ่งจะถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับโรงงานกล่องกระดาษของดั๊บเบิ้ล เอ ด้วย เพื่อทดแทนการใช้วัตถุดิบจากภายนอก ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์ใหม่จะสามารถสร้างรายได้ให้กับดั๊บเบิ้ล เอ ได้ไม่น้อยกว่าปีละ 3,000 ล้านบาท และช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของดั๊บเบิ้ล เอ มากขึ้น เนื่องจากตลาดกระดาษเพื่อบรรจุภัณฑ์ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น ปัจจุบัน ดั๊บเบิ้ล เอ มีผลิตภัณฑ์หลัก คือ เยื่อกระดาษใยสั้น กระดาษพิมพ์เขียน กระดาษสำนักงาน และผลิตภัณฑ์เครื่องเขียนกลุ่มกระดาษ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องเขียนกลุ่มทั่วไป ได้แก่ ปากกา ปากกาเน้นข้อความ ปากกาลบคำผิด เครื่องเย็บกระดาษ กระเป๋าผ้า ซึ่งมีการจำหน่ายในทุกช่องทาง รวมทั้งช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ delivery.doubleapaper.com ซึ่งบริการเดลิเวอรี่ส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ทั่วประเทศ ทั้งนี้เพื่อรองรับกับความต้องการและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคทั้งกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และคนทำงานในยุค New Normal สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรายละเอียดของผลิตภัณฑ์กระดาษคราฟท์ สามารถสอบถามและสั่งซื้อได้ที่โทร.085 835 3794 (สำหรับลูกค้าในประเทศ) และโทร.085 835 4098 (สำหรับลูกค้าต่างประเทศ)

ดั๊บเบิ้ล เอ สร้างปรากฏการณ์สุดเจ๋งใน MV วง OK GO ตอกย้ำกระดาษคุณภาพที่ผู้ใช้ทั่วโลกไว้วางใจ

ปรากฏการณ์ใหม่ระดับโลกเมื่อดั๊บเบิ้ล เอจับมือกับศิลปินวง OK GO วงดนตรีสุดครีเอท แนวอัลเทอร์เนทีฟร็อก จากสหรัฐอเมริกา ที่มีผลงานเพลงและมิวสิค วิดีโอที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางสร้างเซอร์ไพร์สให้กับแฟนเพลงทั่วโลกอีกครั้ง ในมิวสิควิดีโอเพลง Obsession ด้วยเทคนิค Paper Mapping เป็นครั้งแรกของโลก โชว์คุณภาพดั๊บเบิ้ล เอ ที่ส่งออกไปแล้วกว่า 130 ประเทศ โดยศิลปิน OK GO ได้สัมผัสถึงความเรียบลื่นและคุณสมบัติเด่นของกระดาษดั๊บเบิ้ล เอที่ สามารถพรินต์ออกมาโดยไร้อุปสรรคใดๆ จนเกิดแรงบันดาลใจ“OBSESSION for Smoothness” ในการนำมาสร้างสรรค์ฉากอลังการที่น่าตื่นตาตื่นใจในมิวสิควิดีโอชุดนี้ ซึ่งดั๊บเบิ้ล เอ เห็นถึงความเป็นสากลของดนตรีและความคิดสร้างสรรค์ของวง OK GO ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายรุ่นใหม่ๆ สื่อสารภาพลักษณ์ ที่เฟรชขึ้น สนุกขึ้น แต่ยังคงหนักแน่นในเรื่องคุณภาพสินค้าที่ทุกคนไว้วางใจ

ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดบ้านต้อนรับนักศึกษา คณะเทคโนโลยีและการจัดการอุตสาหกรรม ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี

ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดโรงงานต้อนรับคณาจารย์และนักศึกษาคณะเทคโนโลยีและการจัดการอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี เข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเยื่อและกระดาษคุณภาพ ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบครบวงจรและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยผู้เข้าเยี่ยมชมได้เรียนรู้ถึงกระบวนการผลิตกระดาษของดั๊บเบิ้ล เอ ซึ่งใช้ วัตถุดิบจากไม้ปลูก แทนการใช้ไม้จากป่าธรรมชาติ ช่วยสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร เพิ่มพื้นที่สีเขียว และช่วยสร้างสังคมที่ยั่งยืน นอกจากนี้ คณะผู้เยี่ยมชมยังได้ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรตามแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ดั๊บเบิ้ล เอ นำมาใช้ในทุกขั้นตอนของการผลิต โดยนำของเหลือใช้ เช่น เปลือกไม้และน้ำยางไม้ มาใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวมวลผลิตไฟฟ้าใช้ภายในกลุ่มโรงงาน ขณะที่ไอน้ำที่เกิดขึ้นยังถูกนำกลับมาใช้ในกระบวนการผลิตกระดาษ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ตลอดจนการมีระบบ Chemical Recovery ที่นำสารเคมีใช้แล้วกลับมารีไซเคิลใช้ซ้ำอย่างปลอดภัย ช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่และลดของเสียในกระบวนการผลิต ถือเป็นการดำเนินงานตามแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance) อย่างต่อเนื่อง กิจกรรมเยี่ยมชมในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน เข้าใจระบบการผลิตและการจัดการของภาคอุตสาหกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประกอบอาชีพในอนาคต

ดั๊บเบิ้ล เอ ต้อนรับคณะโลจิสติกส์ ม.บูรพา เยี่ยมชมโรงงานผลิตกระดาษยั่งยืนตามแนวคิด Circular Economy

ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดบ้านต้อนรับคณาจารย์และนักศึกษาคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา เข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตกระดาษครบวงจร ที่ส่งออกไปแล้วกว่า 130 ประเทศทั่วโลก เพื่อเรียนรู้แนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งคณะเยี่ยมชมได้สัมผัสกระบวนการผลิตกระดาษตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยดั๊บเบิ้ล เอ ใช้วัตถุดิบจากไม้ปลูก ไม่รบกวนไม้จากป่าธรรมชาติ เป็นการส่งเสริมเกษตรกรปลูก"ต้นกระดาษ"ไม้เศรษฐกิจที่ช่วยสร้างรายได้เสริม พร้อมช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวและดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ลดภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ คณะเยี่ยมชมยังได้เรียนรู้แนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ดั๊บเบิ้ล เอ นำมาใช้ในกระบวนการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การนำของเหลือใช้จากการผลิต อาทิ เปลือกไม้ เศษไม้ และน้ำยางไม้ มาใช้เป็น เชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass Energy) ผลิตไฟฟ้าใช้ภายในกลุ่มโรงงาน ตลอดจนการนำสารเคมีใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ในการผลิต (Chemical Recovery) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด การเยี่ยมชมครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของดั๊บเบิ้ล เอ ในการส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ ได้รับประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน เข้าใจถึงระบบโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษแบบครบวงจร เพื่อนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพและพัฒนาตนเองต่อไปในอนาคต

ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดโลกการเรียนรู้ ต้อนรับนักเรียนโรงเรียนบ้านสวน (จั่นอนุสรณ์) ชมการผลิตกระดาษจากไม้ปลูกของเกษตรกร

ดั๊บเบิ้ล เอ ยินดีต้อนรับและเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ ให้น้องๆ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ5 (เตรียมวิศวกรรม) และคณาจารย์จากโรงเรียนบ้านสวน (จั่นอนุสรณ์) จ.ชลบุรี เข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเยื่อและกระดาษครบวงจรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งใช้วัตถุดิบจาก "ต้นกระดาษ" ผ่านการวิจัยและพัฒนาที่เหมาะสมกับการผลิตกระดาษคุณภาพ พร้อมยังส่งเสริมเป็นไม้เศรษฐกิจให้เกษตรกรปลูก สร้างรายได้และเพิ่มพื้นที่สีเขียว มีส่วนช่วยลดผลกระทบภาวะโลกร้อนอีกด้วย นอกจากนั้นได้เรียนรู้การใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างรู้คุณค่า โดยนำของเหลือใช้จากกระบวนการผลิต อาทิ เปลือกไม้ และน้ำมันยางไม้ นำมาเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลผลิตไฟฟ้าใช้ในโรงงาน ส่วนไอน้ำที่ได้จากการผลิตไฟฟ้ายังนำมาใช้ในกระบวนการผลิตกระดาษ  รวมทั้งระบบนำสารเคมีใช้แล้ว (Chemical Recovery) กลับมาใช้ใหม่ นับเป็นอุตสาหกรรมที่มีการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน  ณ โรงงานดั๊บเบิ้ล เอ จังหวัดปราจีนบุรี  สำหรับการเยี่ยมชมในครั้งนี้ ดั๊บเบิ้ล เอ อยากให้น้องๆ ได้สัมผัสและเห็นการทำงานผ่านผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จริง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจสู่อาชีพให้กับน้องๆ ในอนาคต 

"ดั๊บเบิ้ล เอ แต้มปันสุข ครั้งที่ 7" มอบสมุดเพื่อการศึกษา ให้น้อง ๆ ในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ

ดั๊บเบิ้ล เอ เดินหน้าสนับสนุนการศึกษา เพราะการศึกษาไม่ควรหยุดชะงักแม้ในยามวิกฤติ โดย นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ดั๊บเบิ้ล เอ เป็นตัวแทนมอบ "สมุดเพื่อการศึกษา" จำนวนกว่า 2,400 เล่ม ให้แก่น้อง ๆ ในโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมทางภาคเหนือ ภายใต้โครงการ “ดั๊บเบิ้ล เอ แต้มปันสุข ครั้งที่ 7” ที่เชิญชวนลูกค้ากระดาษดั๊บเบิ้ล เอ มาร่วมปันความสุขด้วยการนำแต้มสะสม Double A QR Rewards จากการสแกน QR Code ข้างกล่อง เปลี่ยนเป็นสมุดเพื่อการศึกษา จำนวน 1 เล่ม และดั๊บเบิ้ล เอ ร่วมสมทบเพิ่มให้อีก 1 เล่ม ผ่านมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชนฯ นำไปส่งต่อยังน้อง ๆ ที่ขาดแคลนได้มีอุปกรณ์การเรียนที่สำคัญ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครอง โดยมี นายทวีโชค สุโภภาค ผู้จัดการแผนกระดมทุนผู้อุปการะรายใหญ่ ฝ่ายระดมทุนและสื่อสารองค์กร มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ.ฯ (ด้านขวามือ) เป็นผู้แทนรับมอบในครั้งนี้ สำหรับโครงการแต้มปันสุข ครั้งที่ 7 มีวัตถุประสงค์ที่อยากให้ลูกค้าดั๊บเบิ้ล เอ ได้มีส่วนร่วม ในการส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้กับน้อง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมทั้งให้กำลังใจเพื่อผ่านวิกฤติไปด้วยกัน “สมุดหนึ่งเล่มอาจเล็กน้อย แต่สำหรับเด็ก ๆ ที่กำลังเผชิญวิกฤติ มันคือเครื่องมือสำคัญต่อความรู้และความฝันต่อไปในอนาคต ผมขอขอบคุณพลังแห่งการแบ่งปันจากลูกค้าทุกท่าน ที่ร่วมเปลี่ยนแต้มเล็ก ๆให้เป็นรอยยิ้มและโอกาสครั้งใหญ่แก่น้อง ๆ” นายชาญวิทย์ กล่าว โครงการ “แต้มปันสุข” ไม่เพียงสะท้อนการดำเนินงานด้าน ESG ของดั๊บเบิ้ล เอ เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน สร้างสังคมการเรียนรู้ ขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง

ดั๊บเบิ้ล เอ ผนึก โลตัส โกเฟรช ขยายจุดบริการ “Double A Fastprint” อีก 30 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ยกระดับความสะดวกให้ชีวิตยุคดิจิทัล ดั๊บเบิ้ล เอ เดินหน้าขยายจุดบริการ “Double A Fastprint” อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือ โลตัส โกเฟรช (Lotus’s Go Fresh) เพิ่มจุดให้บริการใหม่อีก 30 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใต้สโลแกน “งานดี พรินต์ไว สั่งเองได้ทุกเวลา” เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งพรินต์งานง่ายๆ ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแอปพลิเคชัน Double A Fastprint ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และงานพรินต์สีสวยคมชัด ด้วยกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ 90 แกรม คุณภาพระดับพรีเมียมทุกแผ่น ทั้งแบบขาวดำและสี โดยคุณชาญวิทย์ จารุสมบัติ กรรมการบริษัทและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ดั๊บเบิ้ล เอ และคุณอรณัชชา จองบุญวัฒนา Senior Manager - Mall Leasing (Go Fresh) ร่วมเปิดจุดให้บริการใหม่อย่างเป็นทางการ ณ โลตัส โกเฟรช พัฒนาการ 32 ทั้งนี้ Double A Fastprint มีจุดให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ กว่า 1,500 จุด ทั้งในสถาบันการศึกษา, Chain Store, คอนโดมิเนียม/หอพัก, MRT และ Co-Working Space เป็นต้น พิเศษ! สำหรับผู้สมัครใช้งานแอปฯ Double A Fastprint ครั้งแรก รับเครดิตทดลองพรินต์ฟรี 10 บาททันที สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและจุดบริการเพิ่มเติมได้ทางแอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์ www.doubleafastprint.com รายชื่อจุดให้บริการ Double A Fastprint ใน โลตัส โกเฟรช ทั้ง 10 สาขานำร่องที่เปิดแล้ววันนี้ ได้แก่ - Lotus's go fresh ช่างอากาศ อุทิศ ซอย 3 เขตดอนเมือง - Lotus's go fresh ตลาดสินทวี พระราม 2 เขตจอมทอง - Lotus's go fresh พัฒนาการ 32 เขตสวนหลวง - Lotus's go fresh เลียบคลองภาษีเจริญใต้ เขตหนองแขม - Lotus's go fresh ทาวน์อินทาวน์ เขตวังทองหลาง - Lotus's go fresh นิชาดาธานี อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี - Lotus's go fresh สรงประภา 30 เขตดอนเมือง - Lotus's go fresh เพชรเกษม 81 เขตหนองแขม - Lotus's go fresh ช็อป ซิลล่า เขตลาดกระบัง - Lotus's go fresh งามวงศ์วาน 43 เขตหลักสี่

ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดบ้านต้อนรับบริษัทผู้เช่าอาคารสำนักงานจากโครงการ One Bangkok เยี่ยมชมโรงงานผลิตกระดาษรักษ์โลก พร้อมปลูกต้นกระดาษเพื่อทุนการศึกษา สานต่อแนวคิด “Better Paper Better World”

ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดบ้านต้อนรับบริษัทผู้เช่าอาคารสำนักงานภายในอาคาร One Bangkok Tower 3 และ One Bangkok Tower 4 เข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตเยื่อและกระดาษคุณภาพพรีเมียม จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “Better Paper Better World” มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเลือกใช้วัตถุดิบจาก “ต้นกระดาษ” ซึ่งเป็นไม้ปลูก ไม่รบกวนไม้จากป่าธรรมชาติ ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร พร้อมเพิ่มพื้นที่สีเขียว ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ทั้งยังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เพื่อลดการใช้น้ำและพลังงาน ตลอดจนหมุนเวียนของเหลือจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่อย่างรู้คุณค่า ตามแนวทาง Circular Economy ที่ดั๊บเบิ้ล เอ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ทุกท่านที่เยี่ยมชมยังได้ร่วมกิจกรรม “ปลูกต้นกระดาษเพื่อทุนการศึกษา” ให้กับน้อง ๆ โรงเรียนบ้านท่าตูม จังหวัดปราจีนบุรี โดยต้นกล้าทุกต้นที่ปลูกในกิจกรรมจะเติบโตเป็นทุนการศึกษาต่อไปในอนาคต และที่พิเศษคือ ทาง One Bangkok ได้นำปุ๋ยหมักชีวภาพที่ผลิตจากเศษอาหารภายในโครงการ มามอบให้ใช้บำรุงต้นกล้ากระดาษในโครงการดังกล่าว เพื่อให้เติบโตและเป็นสัญลักษณ์ของการจัดการสิ่งเหลือใช้สู่การสร้างอนาคตที่ดีกว่า สอดคล้องกับที่ดั๊บเบิ้ล เอ ให้ความสำคัญเรื่อง "No Waste is Wasted" พร้อมกันนี้ ยังได้ร่วมมอบอุปกรณ์การเรียน และหน้ากากอนามัย Double A Care ใช้สำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวนให้กับน้อง ๆ เพื่อสุขอนามัยที่ดีอีกด้วย กิจกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นการผสานพลังความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและชุมชนในการสร้างคุณค่ากลับคืนสู่สังคมอย่างเป็นรูปธรรม