Follow us

ดั๊บเบิ้ล เอ จัดเสวนา "อยู่กับน้ำ" Dont let Flood STOP your Life เพื่อปลุกกำลังใจคนไทยให้เข้มแข็ง และใช้ชีวิตอยู่กับน้ำได้อย่างมีความสุข

คุณชาญวิทย์ และวิทยากรที่ร่วมเสวนาฯ

พระมหาหรรษา การบรรยายธรรม เรียกขวัญและกำลังใจ

จากมหาอุทกภัยที่คนไทยต้องเผชิญร่วมกัน และเป็นปัญหาที่ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หลายคนตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าน้ำมาถึงแล้ว จะอพยพดี หรือจะอยู่กับน้ำดี  แต่เชื่อเหลือเกินว่า ไม่มีใครอยากจะอพยพมาอยู่ข้างนอกบ้าน แต่สิ่งที่หลายคนยังตั้งข้อสงสัยว่า แล้วเราจะอยู่กับน้ำได้จริงหรือ จากคำถามดังกล่าว ดั๊บเบิ้ล เอ จึงจัดงานเสวนา "อยู่กับน้ำ" Don't let Flood STOP your Life ขึ้น โดยเชิญกูรูสาขาต่างๆ มาบอกเล่าถึงประสบการณ์และแนะนำวิธีที่จะทำให้เราทุกคนอยู่กับน้ำได้อย่างมีความสุข

บรรยาการการเสวนา อยู่กับน้ำ จากกูรูสาขาต่างๆ

ตั้งใจฟัง

โดยงานในวันนั้น เริ่มจากการร่วมฟังการบรรยายธรรม จาก พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเป็น 1 ในหลายๆวัดแรก ๆ ที่ประสบภัยใน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ด้วยการเตรียมความพร้อม มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จึงได้กลายเป็นศูนย์กลางของคนกว่า 3,000 ครอบครัว แม้จะลำบาก แต่พระมหาหรรษา บอกว่า รู้สึกภูมิใจ เพราะการไม่ย้ายไม่อพยพของเรา ทำให้ทุกคนในชุมชนสามารถต่อสู้ยืนหยัดจนวันนี้น้ำลดลงไปกว่า 60 ซม.แล้ว  แต่ประเด็นวันนี้ คือ ถ้าเราไม่หนีน้ำเราจะทำอย่างไร สิ่งสำคัญคือ เราต้องปรับตัวเข้ากับน้ำให้ได้ เวลาสายน้ำเดินทางผ่านมาเรามักจะเป็นทุกข์ สโลแกนของพระมหาหรรษา คือ "อยู่กับน้ำให้เป็นไม่เห็นความทุกข์" ซึ่งพระมหาหรรษา กล่าวว่า ขณะนี้คนส่วนใหญ่เวลาน้ำวิ่งเข้ามาหาน้ำไม่ได้ท่วมแค่กาย แต่น้ำได้ท่วมไปที่ใจ เพราะขณะนี้คนที่ประสบภัยไปแล้ว หรือคนที่กำลังจะประสบภัย จะมีความโกรธและความโลภ

สอบถามสถานการณ์น้ำนอกรอบ

ซึ่งหลังจากนี้อาตมาอยากให้ทุกคนที่เป็นผู้ประสบภัยแล้ว และคนที่กำลังจะเป็นผู้ประสบภัย ตั้งสติให้ดีและไล่เรียงลำดับความสำคัญว่าอะไรควรเก็บควรทำก่อนหลัง ขอให้คิดว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง มีท่วมก็ต้องมีแห้ง ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น มันคงอยู่กับเราไม่นาน ขอให้อดทน และอาตมาไม่แนะนำให้คนที่มีบ้าน 2 ชั้น ย้ายบ้าน แต่ที่สำคัญคนที่รับผิดชอบอย่าไปตัดน้ำ ตัดไฟเขา เพราะเขาดูแลของเขาได้

ดั๊บเบิ้ล เอ มอบเรือเมล์เพื่อผู้ประสบภัย

ขณะที่ คุณสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือ พี่เช็ค โปรดิวเซอร์รายการคนค้นฅน บอกเล่าถึงประสบการณ์ในการลงพื้นที่จริงได้อย่างน่าสนใจ "น้ำท่วมครั้งนี้กินพื้นที่กว้างขวางมาก ตั้งแต่ชนบท ที่คนเรียนรู้ที่จะอยู่กับน้ำ จนถึงใจกลางมหานคร คนที่อยู่ไม่มีทั้งความรู้ ไม่คุ้นชินและไม่ได้มีการเตรียมพร้อมที่จะอยู่กับน้ำ ดังนั้นการลงไปจัดการกับปัญหาเหล่านี้ในบริบทมันมีความแตกต่างกัน และคนถูกน้ำท่วมยังถูกน้ำท่วมด้วยดีกรีที่แตกต่างกัน ซึ่งจากการลงพื้นที่ผมพบว่า ในกลุ่มคนที่ถูกน้ำท่วม เป็น 5 ประเภท คือ 1. เดือดร้อน   2.ลำบาก 3.ยากเย็น 4.เข็ญใจ และ 5.ไม่ไหวแล้วโว้ย คือ เดือดร้อน ลำบาก ยากเย็น เข็ญใจ ทำให้วิธีที่เราจะต้องลงไปช่วยเหลือจะแตกต่างกัน ประกอบกับการมีต้นทุนบางอย่าง บางพื้นที่ที่มีทุกข์กับน้ำท่วมมาก เพราะไม่มีต้นทุน มีความแตกแยก ไม่มีความสามัคคี แต่บางพื้นที่มีผู้นำที่เข้มแข็ง รวมกลุ่ม และจัดการทำให้ชุมชนอยู่ได้ แต่ในพื้นที่ส่วนใหญ่เมื่อถูกน้ำท่วมต่างคนต่างคิดจะเอาตัวรอด ทำให้ทั้งตัวเองและชุมชน ไม่สามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้"


น้ำใส น้ำใจ เพื่อผู้ประสบภัย จากดั๊บเบิ้ล เอ

ด้าน นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขและผู้ดำเนินโครงการชุมชนคลองมหาสวัสดิ์ เล่าถึงประสบการณ์จากฐานะผู้ประสบภัยกลับมาเป็นผู้ช่วยเหลือว่า "ผมอยู่ในเขตบางบัวทอง จึงถือเป็นผู้ประสบภัยลำดับแรกๆ หรือ ผู้ประสบภัยรุ่นที่ 1 โดยที่ผ่านมาผมเตรียมสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลายๆ คนบอก อาจารย์หนีเถอะ เพราะน้ำเยอะจริงๆและไม่มีทางรอด แต่ผมเริ่มจากความไม่ประมาท ตระเตรียมทุกอย่างในการดำรงชีวิต แต่สาเหตุที่ต้องออกมาอยู่ข้างนอก เพราะ บังเอิญรายการโทรทัศน์ได้ชวนออกไปอยู่ข้างนอก เลยตัดสินใจออกมากับทางรายการ และปรับเปลี่ยนตัวเองจากผู้ประสบภัยมาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ โดยลงพื้นที่คลองมหาสวัสดิ์ ไปพบว่า ชาวบ้านตั้งใจว่าเขาจะอยู่ และทาง กทม.  ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวไว้ที่โรงเรียนคลองมหาสวัสดิ์ และที่วัดปุณณาวาส ผมจึงเริ่มกระบวนการกับชุมชน และเราเตรียมเป็นขั้นเป็นตอน และทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกัน แต่ก็มีความขัดแย้งกัน แต่อย่างที่บอก ในสถานการณ์แบบนี้ อยู่ที่ต้นทุนและผู้นำชุมชนว่าเป็นอย่างไร เราจะจัดระบบอย่างไรให้เกิดผู้นำ และความสามัคคีขึ้น ซึ่งจากความสามัคคี ทำให้ชุมชนดังกล่าวอยู่ได้ด้วยความเข้มแข็ง โดยย้ำว่า ถ้าเราฝ่าวิกฤตได้ เราก็จะแข็งแรงขึ้นกว่าเก่า"

ถุงยังช่วย(กัน) ผลิตภัณฑ์จากผู้ประสบภัยในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์

นายทวีจิตร จันทรสาขา นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ขึ้นชื่อว่าสถาปนิก มีหรือที่จะไม่มีวิธีในการปกป้องบ้านให้พ้นจากอุทกภัยในครั้งนี้ แต่ใครจะเชื่อว่า แม้คุณทวีจิต จะมีอุปกรณ์ทุกอย่างเรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่บ้านคุณทวีจิตไม่มี แต่เขาก็ยังไม่สามารถรอดพ้นจากน้องน้ำได้ "สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราได้เรียนรู้" อย่าไปเอาชนะธรรมชาติ แต่ให้คิดเอาธรรมชาติมาใช้ให้ประโยชน์ดีกว่า" เพราะถึงเวลาจริงแล้ว สิ่งที่เราเรียนรู้ถึงมาตราการการป้องกันนั้นยากเกินกว่าที่จะทำได้ ยิ่งน้ำสูงกว่า 1 เมตร ระบบที่เราเตรียมไว้ช่วยอะไรไม่ได้ เมื่อน้ำมาแล้ว บอกได้คำเดียวว่า เก็บเงินไว้ซ่อมบ้านดีกว่า น้ำท่วมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด จริง ๆ สิ่งที่น่ากลัวคือ ระบบโลจิสติกส์ ถ้าสามารถกู้ระบบโลจิสติกส์ได้ และสามารถขนส่งอาหาร ขนส่งคน ขนส่งสินค้า และยารักษาโรคได้ เราก็อยู่กับน้ำได้ ซึ่งประเด็นนี้ คุณเพ็ชร ชินบุตร จากสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ก็สนับสนุนแนวคิดนี้ เพราะตอนนี้ ถึงมีเงินแต่ก็หาซื้อของไม่ได้

สำหรับการดูแลบ้านหลังโดนน้ำท่วม แยกเป็นส่วนๆ

อาคาร : ยืนยันว่าโครงสร้างสามารถแช่น้ำเป็นเวลา 2 เดือน ไม่พังอย่างแน่นอน เว้นแต่อยู่ใกล้บึง ใกล้บ่อ ดินสไลด์ ซึ่งจะส่งผลต่อรากฐานได้

ผนัง : ขัดและล้าง และทิ้งไว้ 1 เดือนเพื่อให้น้ำและความชื้นระเหย เชื่อว่าราคาสีใหม่ ไม่เท่ากับราคากระสอบทรายที่ซื้อมากั้นบ้าน

พื้น : พื้นหินอ่อน หินขัด กระเบื้อง รีบทำความสะอาดอย่าให้เกาะนาน และถ้ากระเบื้องล่อน สามารถใช้กาวเพื่อซ่อมแซมได้ ส่วนพื้นไม้ ถึงน้ำไม่เข้าบ้าน แต่ความชื้นอาจจะทะลุขึ้นมาได้ ซึ่งหากเกิดอาการบวม ซ่อมแซมโดยการตัดออกและซ่อม

ปั๊มน้ำ /คอมเพรสเซอร์แอร์ : ควรหาถุงพลาสติกคลุม เพื่อป้องกันโคลน และยกขึ้นให้พ้นรัศมีน้ำ แต่สำหรับคนที่น้ำท่วมแล้ว หลังน้ำลดควรทิ้งไว้ 2 อาทิตย์ รอให้แห้ง

ถังบำบัด : พอน้ำลดน้ำจะไหลลงไปเอง ให้เอาแบคทีเรียสำเร็จรูปใส่เข้าไป

ด้านคุณชวลิต จันทรรัตน์ TEAM Group มาบอกเล่าถึงสถานการณ์น้ำในขณะนี้ว่า น้ำในปีนี้มีมากกว่าปีอื่นๆ 1.4  เท่า เราก็คิดแบบจำลองเอาน้ำจากพื้นที่ต่างๆ มาคำนวณ พบว่า พื้นที่บางแห่งท่วมแน่ บางแห่งกำลังท่วม และบางแห่งเสี่ยงปานกลาง ซึ่งตอนนี้ยังเหลือถนนพระราม 2 แต่ก็ท่วมแน่ๆ อย่าสร้างกระสอบทรายขอให้ไหลไปตามธรรมชาติ ให้ไหลบางๆ ลงทะเล แต่ในบริเวณกลางๆ ช่วงตะวันออกของถนนวงแหวนบางเขต เช่น ทุ่งครุ ราษฏร์บูรณะ ธนบุรี จะรอด ส่วนพื้นที่ตะวันตกคาดว่าท่วมไม่นาน ภายใน 2 สัปดาห์ ถ้ามีการอุดรอยรั่วที่คลองมหาสวัสดิ์เสร็จ และสูบน้ำจากคลองภาษีเจริญออกไปที่คลองสนามชัย ก็จะทำให้น้ำแห้งเร็ว

ส่วนฝั่งกรุงเทพฯ ชั้นใน เราต้องสู้ด้วยระบบสูบน้ำชั้นที่ 2 คลองบางซื่อยังรับน้ำได้ดี ไม่น่ามีปัญหา และทาง กทม.เองก็ช่วยสูบน้ำลงคลองสามเสนบางส่วน ช่วยให้อนุเสาวรีย์ชัยฯ รอดจากน้ำท่วม ในส่วนของรามคำแหงมีอุโมงค์พระราม 9 รับน้ำ จะทำให้พื้นที่ดังกล่าวปลอดภัย และถัดไปมีอุโมงค์มักกะสันรับน้ำจากคลองพระราม 9 จะช่วยให้เขตดินแดงรอด นอกจากนี้ พื้นที่ที่น้ำจะไม่ท่วม มีเขตบางรัก คลองเตย สาทร พระนคร ดุสิต บางซื่อ แต่ก็อย่าเพิ่งประมาท โดยคุณชวลิตได้แนะแนวทางรับมือกับน้ำท่วมไว้หลากหลายข้อ และเตือนว่า สำหรับคนที่ยกรถขึ้น อย่ายกที่แหนบเพราะจะทำให้รถเสีย หรือถ้าใช้ถุงกันน้ำ ก็ต้องหาที่ยึดรถไว้ด้วยไม่เช่นนั้นรถจะลอยและกระแทกเสียหายได้

การเสวนาในครั้ง คงจะช่วยทำให้ทั้งผู้ประสบภัยและผู้ที่กำลังจะประสบภัย ได้กำลังใจและแนวทางที่จะลุกขึ้นมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ปล่อยให้น้ำมาหยุดวิถีชีวิตของเรา ขอแค่รัฐบาลอย่าตัดน้ำตัดไฟ คนที่ตั้งใจจะสู้อยู่กับน้ำ ก็จะอยู่ได้ ในช่วงท้ายเสวนาดั๊บเบิ้ล เอ ผู้จัดเสวนาได้นำร่องมอบเรือเมล์ และไม้ต้นกระดาษให้แก่นพ.โกมาตร เพื่อนำไปสร้างสะพานต้นแบบสำหรับการสัญจรของชุมชนที่ประสบอุทกภัย ให้สามารถมีวิถีชีวิตอยู่กับน้ำ  และขอฝากคำดีๆ ของพระมหาหรรษา ไว้ด้วยว่า "แม้ว่าน้ำจะพัดพาทุกอย่างไปจากชีวิตเรา แม้ว่าจะพัดพาบางอย่างไปจากสังคมของเรา แต่น้ำจะไม่พัดพาสยามเมืองยิ้ม กำลังใจ และการช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปจากสังคมไทย เราจะสู้ไปด้วยกัน"

วีณามัย บ่ายคล้อย ผู้ดำเนินรายการ

ข่าวประชาสัมพันธ์

แคมเปญ 1Dream1Tree

ดั๊บเบิ้ล เอ มีการดำเนินธุรกิจภายใต้โมเดล “กระดาษจากคันนา” เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการใช้พื้นที่ว่างเปล่าบนคันนา ซึ่งช่วยให้ชาวนามีรายได้เสริมและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันเพิ่มมากขึ้นได้ส่งผลกระทบที่หลายๆประเทศต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น ภัยแล้ง น้ำท่วม หมอกควันจากไฟป่า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากฝีมือมนุษย์ที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ดั๊บเบิ้ลเอ จึงอยากรณรงค์ให้ผู้บริโภคตระหนักถึงพลังของผู้บริโภคที่จะดูแลใส่ใจสิ่งแวดล้อม สิ่งหนึ่งที่สามารถทำได้ คือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายป่า ไม่ตัดไม้จากป่า อันเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาภัยธรรมชาติ จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “Double A One Dream One Tree” เพื่อปลุกกระแสรักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้ประชาชนทุกคนตระหนักว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกคนต้องร่วมมือกันแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ดั๊บเบิ้ล เอ ร่วมกับ กสศ. ส่งมอบอุปกรณ์เครื่องเขียน ส่งเสริมฟื้นฟูจิตใจน้อง ๆ ในศูนย์อพยพพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

ดั๊บเบิ้ล เอ ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และเครือข่ายเพื่อน กสศ. เดินหน้าเติมพลังใจและสนับสนุนการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนในศูนย์อพยพ 4 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และบุรีรัมย์ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยการส่งมอบอุปกรณ์และสื่อการเรียนรู้ที่จำเป็น อาทิ กระดาษ สมุด และชุดเครื่องเขียน ซึ่งการส่งมอบในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการเติมเต็มสิ่งของที่จำเป็นด้านการศึกษา แต่ยังเป็นการส่งความห่วงใย และกำลังใจให้น้อง ๆ ในการทบทวนบทเรียน ทำแบบฝึกหัด ฝึกฝนความรู้และพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ไม่ปกติ ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจในการส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา และฟื้นฟูจิตใจให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เติบโตอย่างมีคุณภาพ พร้อมกันนี้ ขอเป็นกำลังใจให้สถานการณ์ในพื้นที่คลี่คลายและกลับเข้าสู่ความสงบโดยเร็ว เพื่อให้น้อง ๆ และครอบครัวสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติอีกครั้ง

ดั๊บเบิ้ล เอ ส่งความห่วงใย มอบหน้ากากอนามัยฯ สู่ทหารชายแดนไทย-กัมพูชา

ดั๊บเบิ้ล เอ ห่วงใยสุขอนามัยของทหารชายแดนไทย-กัมพูชา มอบหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ Double A Care รุ่น 3D V-SHAPE Smart FIT สีดำ จำนวน 20,000 ชิ้น ให้แก่ มณฑลทหารบกที่ 25 ค่ายวีรวัฒน์โยธิน ต.นอกเมือง อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ โดยหน้ากากอนามัยฯ นี้สามารถกรองเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ 99.9% ใส่สบาย หายใจสะดวก เพื่อสุขอนามัยที่ดี พร้อมส่งกำลังใจให้ทหาร และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของประเทศชาติและประชาชนคนไทยทุกคน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาดั๊บเบิ้ล เอ ยังได้มอบผลิตภัณฑ์ Double A Care ที่มีความต้องการ อาทิ เพียว & พรีเมียม ทิชชู, ทิชชูเปียก Pure Water และ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ให้แก่ศูนย์อพยพต่างๆ รวมถึงมอบอุปกรณ์เครื่องเขียน ให้แก่ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อเด็กที่ได้รับผลกระทบ ใน 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นพลังบวกให้คนไทยก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน

ดั๊บเบิ้ล เอ ส่งต่อพลังบวก “Double A Fit for Kids ครั้งที่ 3” มอบอุปกรณ์การเรียน 3,000 ชุด ให้เด็กๆที่ขาดแคลน

    นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดั๊บเบิ้ล เอ เป็นผู้แทนมอบชุดอุปกรณ์การเรียน จำนวน 3,000 ชุด ภายใต้โครงการ “Double A Fit for Kids ครั้งที่ 3” ผ่านมูลนิธิซี.ซี.เอฟ.เพื่อเด็กและเยาวชนฯ โดยมี ดร.สุรีวัลย์ ลิ้มพิพัฒนกุลที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และแผนงาน มูลนิธิซี.ซี.เอฟ.เพื่อเด็กและเยาวชนฯ ให้เกียรติเป็นผู้แทนรับมอบ เพื่อนำไปจัดสรรและกระจายยังโรงเรียนต่างๆที่ขาดแคลน สำหรับโครงการ “Double A Fit for Kids ครั้งที่ 3” จัดขึ้น โดยมุ่งหวังสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพพร้อมสร้างสรรค์สังคมที่ดี ด้วยการจัดกิจกรรมเดิน–วิ่งสะสมจำนวนก้าวร่วมกันแบบ Virtual พิชิตภารกิจเป้าหมาย “9 วัน 9 ล้านก้าว” เพื่อร่วมส่งมอบชุดอุปกรณ์เครื่องเขียน อาทิ สมุดนักเรียน สมุดรายงาน ปากกา เป็นต้น พร้อมกระเป๋าสะพาย ให้กับน้องๆ ได้เข้าถึงอุปกรณ์การเรียนที่เพียงพอและมีคุณภาพ กิจกรรมนี้ ไม่เพียงส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมพลังน้ำใจจากผู้ร่วมกิจกรรม ที่มีเป้าหมายสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไป

ดั๊บเบิ้ล เอ มอบขวดพลาสติกอัพไซเคิล โครงการ “แยกเพื่อให้...พี่ไม้กวาด” ของสำนักสิ่งแวดล้อม กทม.

นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดั๊บเบิ้ล เอ เป็นตัวแทนมอบขวดน้ำพลาสติกใส จำนวน 27 กิโลกรัม จากกิจกรรมที่ดั๊บเบิ้ล เอ รณรงค์ให้พนักงานตระหนักถึงความสำคัญของการแยกขยะ ซึ่งสามารถนำมาอัพไซเคิล (upcycle) ให้เกิดประโยชน์ ผ่านโครงการมือวิเศษ กรุงเทพ “แยกเพื่อให้...พี่ไม้กวาด” เพื่อนำไปผลิตเป็นเสื้อกั๊กสะท้อนแสง สำหรับบุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านการรักษาความสะอาดของกรุงเทพฯ เพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน โดยมี นางสาวลลิดา กังวาลชิรธาดา ผู้อำนวยการส่วนบริการจัดการมูลฝอย สำนักงานยุทธศาสตร์จัดการมูลฝอย สำนักสิ่งแวดล้อม เป็นผู้รับมอบ ณ จุดรับขยะแยกประเภท (Drop off Point) ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง กิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกแล้ว ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของดั๊บเบิ้ล เอ ในการส่งเสริมแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) รวมถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยั่งยืน

ดั๊บเบิ้ล เอ ต้อนรับ กทพ. โชว์ศักยภาพการผลิตมาตรฐานคุณภาพ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจยั่งยืน

ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดบ้านต้อนรับคณะทำงาน ผู้ตรวจประเมิน และเจ้าหน้าที่ระบบบริหารงานคุณภาพด้านบริการ ISO 9001: 2015 จากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) นำโดย คุณศิริมา ชวนอยู่ รองผู้ว่าการ(บริหาร)กทพ.พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมชมโรงงานดั๊บเบิ้ล เอ จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อเข้าใจถึงกระบวนการผลิตเยื่อและกระดาษครบวงจรภายใต้ระบบบริหารคุณภาพมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 และมาตรฐาน ISO 14001 ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ทำให้แบรนด์ดั๊บเบิ้ล เอ ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศ และส่งออกไปกว่า 130 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ คณะผู้เยี่ยมชมยังได้เรียนรู้โมเดลการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในระบบหมุนเวียน (Circular Economy) และแนวทางการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG (Environment, Social, Governance) ที่ดั๊บเบิ้ล เอ ยึดถือมาโดยตลอด เพื่อสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมของชุมชน และธรรมาภิบาลที่โปร่งใส การเยี่ยมชมในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่ดั๊บเบิ้ล เอ ได้แสดงถึงศักยภาพ ความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง และการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพให้กับผู้บริโภคและสังคม

ดั๊บเบิ้ล เอ ส่งใจ ส่งความห่วงใย สนับสนุนหน่วยแพทย์พระราชทาน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์

นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดั๊บเบิ้ล เอ มอบหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ Double A Care เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขของหน่วยแพทย์พระราชทาน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พร้อมทั้งมอบอุปกรณ์เครื่องเขียนดั๊บเบิ้ล เอ อาทิ สมุด ดินสอ ปากกา เป็นต้น ให้แก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ที่ยังขาดแคลน โดยมี นางวาสนา เทียมสุวรรณ ที่ปรึกษาโครงการตามพระดำริและงานส่วนพระองค์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ให้เกียรติเป็นผู้แทนรับมอบ ทั้งนี้ ดั๊บเบิ้ล เอ เล็งเห็นความสำคัญด้านสุขภาพอนามัยของคนไทยและการศึกษาของเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “Double A ส่งใจ มอบความห่วงใย ทั่วไทย” ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 โดยมอบหน้ากากอนามัยฯ Double A Care แก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย กลุ่มเปราะบาง และผู้ที่ขาดแคลน รวมถึงการมอบอุปกรณ์เครื่องเขียนเพื่อส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชน และในปี 2568 นี้ ดั๊บเบิ้ล เอ ยังคงเดินหน้าสานต่อเจตนารมณ์ในการส่งต่อความห่วงใยและพลังบวกสู่สังคมไทย ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืน